#ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อเขาจับมือของหนู (สอนลูกยังไงให้รู้เท่าทันเรื่องเพศสัมพันธ์)

ช่วงนี้มีข่าวที่อาจทำให้พ่อแม่หลายคนส่งคำถามมาหาหมอว่า เป็นห่วงเรื่องเด็กและวัยรุ่นจะมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้ป้องกัน และอาจนำมาสู่การท้องไม่พร้อม การติดโรคต่างๆ หรือแม้กระทั่งผลกระทบทางจิตใจที่อาจตามมา

โพสต์นี้ขอเขียนยาวหน่อยนะคะ

เด็กผู้หญิงม.ต้นที่ประสบเหตุการณ์ท้องไม่พร้อมคนหนึ่งที่หมอคุยด้วยเมื่อนานมาแล้ว เธอเป็นเด็กน่ารัก เรียนดี แต่เกิดไปมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนชายโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอเล่าว่า

“ตอนนั้นเพื่อนไปส่งหนูที่บ้าน แล้วหนูเลยชวนเขาเข้ามาดื่มน้ำ มันเริ่มต้นตอนเขาเอื้อมมาจับมือของหนู เราก็จับมือกัน หนูรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ แล้วเขาก็เริ่มจับที่แขน ขึ้นมาที่ไหล่ทั้งสองข้าง แล้วเราก็กอดกัน เขาหอมแก้ม จูบหนู ตอนนั้นความรู้สึกหนูตื่นเต้นมาก จนเหมือนหายใจไม่ออก แต่ก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อ และแล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้รู้ตัว ร่างกายมันเป็นไปของมันเอง รู้ว่ามันจะไม่ดี แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ พอเวลาผ่านไป หนูก็รู้ว่าหนูมีอะไรกับเขาแบบที่คนอื่นเขาพูดถึงว่าทำแบบนี้ต้องรอแต่งงานก่อน แต่หมอรู้มั้ยว่า หนูเสียใจที่เป็นแบบนี้ หนูก็แค่ชวนเพื่อนเข้ามาดื่มน้ำในบ้าน เพราะเขาใจดีมาส่งหนูเท่านั้นเอง”

หลังจากคลอดลูก เด็กคนนั้นกลับไปเรียนต่อได้ ตอนนี้เด็กที่เกิดได้รับการเลี้ยงโดยคุณตาคุณยาย ส่วนเด็กที่จริงๆเป็นแม่แท้ๆ แต่ก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นพี่สาวมากกว่า เคสนี้ถือว่าจบลงได้ด้วยดีพอสมควร ตอนนี้เท่าที่ทราบเด็กผู้หญิงก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรียนจบมีหน้าที่การงานที่ดี แต่แน่นอนชีวิตเธอก็ขลุกขลักอยู่ช่วงหนึ่ง

คงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ แล้วพ่อแม่จะสอนลูกชายลูกสาวยังไง เรื่องการพูดคุยเรื่องเพศกับลูก จะเริ่มต้นอย่างไรดี แบบไหน ตอนไหน

อย่างแรก ต้องปรับที่ทัศนคติของพ่อแม่ว่าเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมชาติ อย่าไปคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีหรือสกปรก สมควรจะปกปิดไม่พูดถึง ถ้าพ่อแม่ไม่พูดกับลูก เขาก็จะต้องไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ แล้วสื่อยุคนี้ก็หาง่าย ยิ่งไม่พูดให้เขาไปเรียนรู้เอง ยิ่งทำให้เกิดผลที่ตามมาแบบไม่ดีเท่าไหร่

พ่อแม่บางคนบอกว่า เฮ้ย ก็ให้ครูสอนสิ ใช่ค่ะ ตอนนี้ในโรงเรียนมีสอนเรื่องเพศในวิชาสุขศึกษา แต่บางทีก็อาจจะไม่เข้าใจกันเท่าพ่อแม่สอนหรอก เพราะครูก็สอนรวมๆในห้อง บางเรื่องที่ส่วนตัวมากๆ เด็กเขาก็คงไม่กล้าถามครู แล้วให้ไปถามใคร ก็ควรจะเป็นพ่อแม่นี่แหละ คนที่มีประสบการณ์ อาบน้ำร้อนมาก่อน ดีกว่าถามเพื่อนๆที่ยังไม่รู้เดียงสาเท่าไหร่เหมือนๆกันตั้งเยอะ

แต่การที่จะให้ลูกเปิดใจคุยกับพ่อแม่เรื่องนี้ สำคัญมากๆคือ ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกพื้นฐานต้องดีสักหน่อย มีความสนิทสนม ไว้วางใจกัน ให้ลูกรู้สึกว่าเวลามีอะไรก็คุยกับพ่อแม่ได้ ซึ่งการสร้างสัมพันธภาพที่ดี พ่อแม่ก็ต้องมีเวลาให้ลูกตั้งแต่เขายังเล็ก มีเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน คุยกันได้ทุกเรื่องตั้งแต่เขาเด็กๆ ตรงนี้มันก็จะกลายเป็นความเคยชินจนเขาเติบโตขึ้น

เคยดูคลิปของสสส.ที่บอกว่า “เรื่องเพศคุยกันได้” มั้ยคะ ที่พ่อให้เบอร์โทรศัพท์กับลูกชายแล้วจริงๆเป็นเบอร์ที่โทรหาตัวของพ่อเองนั่นแหละ เพราะพ่อรู้สึกว่าเด็กไม่กล้าคุยกับพ่อเรื่องนี้ เลยบอกว่า เออ ถ้าอยากคุยอะไรส่วนตัวๆ โทรไปหาเจ้าหน้าที่ที่เบอร์นี้ได้นะ มีคนรับสายพร้อมคุยด้วย แล้วเด็กก็โทรไป แต่จริงๆคนที่คุยด้วยคือ คุณพ่อ ก็เป็นคลิปที่น่ารักดี แต่จริงๆ ถ้าพ่อคุยกับลูกแบบตรงไปตรงมาน่าจะดีกว่า

เด็กวัยรุ่นก็คือเด็ก แต่เมื่อมีอิทธิพลของธรรมชาติและฮอร์โมน เด็กคนนั้นก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ถ้าอารมณ์พาไป พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรู้เท่าทันเรื่องอารมณ์ทางเพศ

เด็กอาจจะไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าการที่อยู่กับเพศตรงข้ามสองต่อสองในที่ลับตา จะทำให้เกิดอะไรตามมาได้บ้าง ไม่รู้ว่าเริ่มต้นที่การจับมือ ลูบไล้ตามร่างกาย กอด จูบ ลูบคลำ ตรงนั้นนำไปสู่เพศสัมพันธ์ได้

เด็กหลายๆคนที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร บอกว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้ เพิ่งเคยมีความรู้สึกแบบนี้ และห้ามตัวเองไม่ได้

ความรู้สึกทางเพศที่เกิดขึ้นในวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นกับเด็กวัยรุ่น เมื่อถูกกระตุ้นด้วยอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสื่อ การสัมผัส

พ่อแม่ควรสอนให้เด็กรู้เท่าทัน เรื่องการวางตัวกับเพศตรงข้าม สอนลูกสาวให้รู้ว่าไม่ควรอยู่กับเพศตรงข้ามสองต่อสองในที่ลับตา ลูกชายก็ควรให้เกียรติผู้หญิง

การพูดคุยกันได้แทนที่จะห้ามขาดไม่ให้ลูกมีแฟน น่าจะดีกว่าให้เขาไปแอบๆคบกัน เพราะถึงห้ามเด็กเขาก็แอบเราได้ สมมติลูกจะมีแฟน มันน่าจะเป็นโอกาสดี ที่พ่อแม่จะคุยกับดาวเรื่องนี้

พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเป็นห่วง กังวลในเรื่องนี้มาก แต่เมื่อพ่อแม่ปล่อยให้ความกังวลเกินไปครอบงำจิตใจ สิ่งที่เราสื่อไปถึงลูก จะกลายเป็นความระแวง หงุดหงิด โกรธ ทั้งที่ใจจริงพ่อแม่ห่วงลูก

ความห่วงใยจึงกลายเป็นความขัดแย้ง การจะสื่อสารให้เข้าใจกัน ต้องใช้ความเข้าใจในตัวลูก ตรงไปตรงมา ชัดเจน ไม่ประชดประชัน ที่สำคัญ คำสอนนั้นต้องนำไปใช้ได้จริง การที่บอกเพียงว่า “อย่ามีแฟนนะ” มันอาจจะกว้างเกินไป

หมอมีเทคนิคสามข้อ ที่พ่อแม่อาจจะลองนำไปใช้เพื่อที่จะสอนลูกในเรื่องนี้

1.สอนเมื่อถึงเวลา

อายุที่เหมาะกับการสอน พ่อแม่ควรจะต้องเริ่มตั้งแต่ลูกยังเป็นเด็กเล็กๆ โดย เริ่มที่ให้เด็กรู้ว่าอวัยวะใดของร่างกายเขาที่ห้ามคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่มาสัมผัส เพื่อป้องกันการถูกล่วงละเมิดในเด็ก และเมื่อเด็กมีพัฒนาการทางการเพศ เช่น การมีประจำเดือน เด็กผู้ชายเป็นหนุ่ม เสียงแตก มีฝันเปียก ควรคุยกับเด็กให้เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้หมายถึงแกเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ร่างกายแกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เรื่องของความรู้สึกทางเพศ เด็กวัยรุ่นบางทีจะสับสน ไม่เข้าใจ ทำให้เด็กรู้ว่ามีอะไรก็สามารถคุยกับพ่อแม่ได้

2.สอนเมื่อเด็กถาม

โดยส่วนใหญ่ที่โรงเรียนก็จะมีการสอนเพศศึกษา เด็กอาจจะฟังแล้วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เราก็อาจถือโอกาสคุยกับลูกเรื่องที่เรียน ถามถึงความคิดความรู้สึก และก็อธิบายไปตามความจริง ตามอายุที่เด็กพอจะเข้าใจ แต่อย่าโกหก เพราะยิ่งทำให้เด็กสับสน

3.สอนเมื่อมีโอกาส เช่น ดูทีวีแล้วมีฉาก หรือมีข่าว

เวลาที่ดูทีวีหรือหนังที่มีฉากการแสดงความรักก็ลองถามลูกว่าเห็นแล้วเป็นอย่างไร บอกลูกว่าการที่เราแสดงความรัก เช่นกอด จูบ สัมผัส จะนำไปสู่อะไรได้บ้าง ซึ่งควรรอจนกว่าจะพร้อม เพราะฉะนั้นก็ต้องป้องกันก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนเหล่านั้น ถ้าลูกมีแฟนก็ไม่ควรอยู่ตามลำพังสองคน ไม่ไปเที่ยวไหนที่ลับตาคน เพราะจะทำให้เกิดอะไรได้บ้าง ก็อธิบายไป และถ้าเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาจะมีอะไรได้บ้าง เช่น ท้อง การติดโรค เป็นต้น ต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ

เด็กส่วนใหญ่ที่หมอคุยไม่ได้อยากจะมีเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่ไม่พร้อม แต่สถานการณ์พาไป เช่น ไปบ้านแฟนตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน ดื่มสุรา ไปที่ลับตาคนแล้วอารมณ์ความรู้สึกพาไป เมื่อเผลอและพลาดไปแล้ว ก็ต้องมานั่งเสียดาย เสียใจภายหลังกันหลายคน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา #หมอมินบานเย็น  เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2561

ดาวน์โหลดเอกสารฟรี

    (* สำคัญต้องกรอก)

    3,337